พ่อแม่ควรทำอย่างไรดี ถ้าอยากให้ลูกเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง

ช่วงวัยรุ่น ถือเป็นช่วงวัยที่มีความหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นช่วงวัยที่กำลังค้นหาตัวเอง พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องพยายามทำความเข้าใจ ให้คำปรึกษา ให้เวลากับลูกอย่างเต็มที่ และมีการพูดคุยกัน โดยเทคนิคและข้อที่ควรทราบว่าจะทำอย่างไรให้ลูกอยากเล่าเรื่องต่างๆให้พ่อแม่ฟัง มีดังนี้ 1.ต้องเข้าใจว่าเด็กวัยรุ่นจะมีพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องปกติ การที่เขาไม่ได้เล่าให้พ่อแม่ฟังทุกเรื่อง หมายถึงว่า ลูกของเราไม่ได้เป็นเด็กเล็กๆแล้ว อันนี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่ของลูกวัยรุ่นควรทำความเข้าใจ ไม่ต้องไปโกรธหรือบังคับให้เขาเล่าทุกเรื่อง 2.ถ้าอยากให้ลูกไว้ใจพอที่จะเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง แม้จะเป็นวัยรุ่น พ่อแม่ต้องฟังลูกให้มากตั้งแต่เล็ก เพราะตอนเล็กๆ ลูกจะชอบเล่าอะไรต่างๆให้พ่อแม่ฟังมาก แต่ตอนนั้นพ่อแม่บางคนกลับไม่ค่อยมีเวลารับฟังลูก พอลูกอยากจะเล่าให้พ่อแม่ฟังแต่พ่อแม่ไม่ค่อยฟัง ตอนหลังโตขึ้นเมื่อมีเพื่อนก็จะไปเล่าให้เพื่อนฟังแทน พ่อแม่เพิ่งมาอยากให้ลูกเล่าตอนโต ตอนนั้นก็ไม่ทันเสียแล้ว 3.เวลาที่ลูกเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง ให้ฟังด้วยความมีสติ อย่ามีอารมณ์ไปกับเรื่องที่ลูกเล่าให้มาก เด็กบางคนที่ไม่ค่อยอยากเล่าอะไรให้พ่อแม่ฟัง เพราะพ่อแม่มีความกังวลสูง พอเล่าไปแล้วพ่อแม่เกิดความเครียด เด็กก็จะรู้สึกว่าไม่อยากทำให้พ่อแม่กลุ้มใจ ไม่เล่าดีกว่า 4.เรื่องที่ลูกเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าเขาทำผิดพลาดมา ลูกไม่ได้อยากให้พ่อแม่ตำหนิหรือวิจารณ์ตั้งแต่ต้น การแนะนำทำได้ แต่ต้องฟังให้จบก่อน ถ้าลูกรู้สึกว่าเล่าอะไรให้พ่อแม่ฟังทีไร พ่อแม่บ่นทุกครั้ง ถูกดุทุกที ทีหลังลูกมีอะไรก็อาจจะเก็บเอาไว้ไม่บอกใคร จะแนะนำหรือสั่งสอนให้ใจเย็นๆ รอให้ลูกเล่าระบายความไม่สบายใจที่เกิดให้จบก่อน แล้วค่อยสอน   ที่มา : Facebook Page เข็นเด็กขึ้นภูเขา

เรามารู้จัก IQ EQ กันค่ะ

IQ (Intelligence Quotient) หมายถึง ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา คือ ความสามารถในการเรียนรู้ การจำ การคิดอย่างมีเหตุผล คิดวิเคราะห์ และการเชื่อมโยง แล้วสรุปเป็นความหมาย EQ  (Emotional Quotient ) หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ คือความสามารถในการรู้จัก เข้าใจควบคุมอารมณ์และปรับจิตใจ อารมณ์ของตนเองได้สอดคล้องกับวัย มีสัมพันธภาพที่ราบรื่น ประพฤติ ปฏิบัติตนอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมและมีความสุข การพัฒนา IQ EQ ควรเริ่มตั้งแต่….. – ระยะ 3 ปีแรกของการพัฒนา IQ EQ โดย 2 ปีแรก สมองจะมีการสร้างใยประสาทมากที่สุดและจะมีพัฒนาการในการเคลื่อนไหว การมองเห็น และการได้ยินเสียงก่อนการพัฒนาด้านอื่น – เมื่ออายุ 6 ปี สมองจะพัฒนาได้เกือบร้อยละ 60-70 ของสมองผู้ใหญ่ – หลังจากนั้นจะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับการกระตุ้น การใช้งานบ่อยๆ เด็กจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าผู้ใหญ่มาก ฉะนั้นแล้ว ผู้ปกครองควรเริ่มฝึกฝนบุตรหลานของท่านตั้งแต่ ช่วง 1-6 ปีแรก เพราะเด็กจะมีการพัฒนาการการรับรู้ต่างๆได้อย่างรวดเร็วกว่าช่วงวัยอื่นๆโดยควรเลือกกิจกรรมให้เหมาะสม ที่มา […]

เลี้ยงลูก…อย่ากลัวลูกผิดหวัง

เด็กยุคนี้พ่อแม่มักเลี้ยงแบบตามใจมาก รักปานแก้วตาดวงใจ มีดาวกับเดือนเท่านั้นที่พ่อแม่หาให้ลูกไม่ได้ หากแต่ทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่ได้ถูกกำหนดได้ด้วยพ่อกับแม่ ทั้งสองไม่สามารถสยายปีกปกป้องลูกได้ตลอดเวลา ลูกจะต้องเติบโตและเผชิญกับปัญหาบ้าง ดังนั้น ควรให้เขาเผชิญกับความผิดหวังเสียบ้าง เด็กบางคนเมื่อเกิดความเสียใจจะรับสภาพไม่ค่อยได้ เกิดอาการร้องไห้ฟูมฟาย ขนาดพ่ายแพ้ในการแข่งขันกีฬาซึ่งสอนให้ผู้เล่นรู้จักแพ้รู้จักชนะก็ยังทำใจไม่ได้ง่ายๆ ปฏิกิริยาของเด็กที่จะต้องรับมือกับ “ความพ่ายแพ้” หรือ “ผิดหวัง” ไม่ได้ พวกเขาจะเกิดอาการหงุดหงิด ไม่พอใจ ร้องไห้ฟูมฟาย พูดอธิบายเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง โกรธคนอื่น แต่บางคนก็ซึมเศร้าไม่พูดกับใคร แอบร้องไห้ และพานจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะคว้าชัยชนะเสียเฉยๆ ซึ่งหากลูกๆ ตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่จะรับมืออย่างไรดี? กรณีศึกษา : ด้วยความเป็นพ่อเป็นแม่ก็อยากให้ลูกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ก็สนับสนุนให้เรียนว่ายน้ำ และการลงแข่งขันในสนามต่างๆ ก็ตามมา มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อลูกชายวัย 6ขวบ แพ้ในการแข่งขันว่ายน้ำ 100เมตร สังเกตลูกเศร้ามาก โทษและงงกับตัวเองว่าทำไมจึงแพ้เพื่อน พานจะไม่ขึ้นรับรางวัลเหรียญเงินในการแข่งขันครั้งนั้น พ่อแม่ต้องพูดอธิบายปลอบใจกันยกใหญ่ นี่แค่การแข่งขันเล็กๆ ของเด็กๆ หากลูกโตไป ต้องเจอกับการแข่งขันอื่นๆ เช่น สอบเข้าโรงเรียนไม่ได้ ซึ่งอาจเกิดความเสียใจมากกว่านี้หลายเท่า แล้วลูกของเราจะรับความผิดหวังได้หรือไม่ การแก้ไขปัญหา : ในฐานะเป็นพ่อแม่ อย่ากลัวปัญหาที่ลูกจะต้องเผชิญเมื่อเขาเติบโตขึ้น เพราะธรรมชาติของมนุษย์ต้องเจอปัญหาอยู่แล้วไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เช่น […]

ฝึกลูกพูด 2 ภาษา..ดีจริงหรือ?

ถ้าคุณสนใจสอนลูกพูด 2 ภาษา โดยเฉพาะลูกครึ่ง ก็ตอนนี้เด็กลูกครึ่งบ้านเราเยอะมาก และพ่อแม่ก็มักกังวลเนื่องจากพ่อพูดภาษาหนึ่ง แม่พูดภาษาหนึ่ง ลูกกลับพูดเป็นคำที่ไม่มีความหมาย เปล่งเสียงพูดแปลกๆ เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน เลยกังวลว่าการพูด 2 ภาษาจะเป็นตัวการทำให้ลูกพูดช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกันหรือเปล่า เรื่องนี้ได้ไปขอคำปรึกษาจากคุณหมอปราณี สิตะโปสะ กุมารแพทย์ สถาบันส่งเสริมสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ซึ่งคุณหมอก็มีคำตอบให้ดังนี้ค่ะ สอน 2 ภาษาได้แต่แรกเกิด เด็กที่มีพ่อหรือแม่เป็นคนต่างชาติ สามารถสอนลูกพูดได้ทั้งสองภาษาตั้งแต่แรกเกิดเลยค่ะ คือพูดกับลูกตั้งแต่ตอนที่เขายังพูดไม่ได้นี่ล่ะ พ่อพูดภาษาหนึ่ง แม่พูดภาษาหนึ่ง ก็ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะเด็กจะสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ตั้งแต่เกิด โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มที่ภาษาใดภาษาหนึ่งเป็นหลัก พูดไปได้เลยควบคู่กันทั้งสองภาษา เพราะสำหรับเด็กการเข้าใจ การได้ฟังภาษาต่างๆ จะค่อยๆ เกิดขึ้นภายในขวบปีแรก แต่…ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนนะคะที่เราจะสามารถพูดหรือสอน 2 ภาษาได้ เพราะเด็กบางคนอาจจะมีแนวโน้มของการพูดช้า หรือมีปัญหาเรื่องการได้ยิน การรับฟัง การออกเสียง ซึ่งถ้าเด็กมีแนวโน้มว่าจะมีปัญหาเหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะสอนภาษาใดภาษาหนึ่งเป็นหลักไปก่อน เพื่อป้องกันการเกิดความสับสน และไม่ทำให้ลูกพูดช้าลงไปกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนเด็กที่ไม่มีปัญหาอะไรสามารถเริ่มได้ทันทีค่ะ สอน 2 ภาษาดีอย่างไร ตอนนี้เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าภาษาที่สองนอกจากภาษาไทยจำเป็นมากสำหรับโลกปัจจุบัน การเริ่มสอนภาษาที่ 2 ควรเริ่มก่อนเด็กอายุ 7 ปีค่ะ […]

4 เรื่องที่ควรรู้ก่อน: เจาะหูให้ลูกสาว!

การเจาะหูให้ลูกสาวตัวน้อย เป็นที่นิยมมากสำหรับบางครอบครัว เพราะเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิง ถ้าใส่ต่างหูคงดูน่ารักดี และมักนิยมเจาะหูให้ลูกกันตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ใช่ว่าแค่เจาะหูแล้วทุกอย่างจะจบนะคะ คุณต้องรู้จักวิธีการดูแลรักษาความสะอาดให้ถูกวิธี ไม่เพียงแต่ในบ้านเราที่นิยมเจาะหูให้เด็กผู้หญิง ในต่างประเทศคุณแม่ก็นิยมให้ลูกสาวตัวน้อยๆเจาะหูตั้งแต่เด็กเหมือนกันค่ะ 4 เรื่องที่ควรรู้ก่อน: เจาะหูให้ลูกสาว! 1.เจาะเมื่อพร้อม: เด็กส่วนมากจะเริ่มเจาะหูกันตอนที่รู้ความมากๆแล้ว หรือประมาณอายุ 5 ขวบซึ่งลูกจะสนใจเรื่องความสวยความงามของตัวเองมากแล้วค่ะ 2.การเลือกวิธีการเจาะ: คุณแม่บางคนก็สามารถทำการเจาะหูให้ลูกได้เลย หรือ บางคนเลือกเข้าร้านที่ทำการเจาะหูให้ลูกโดยเฉพาะ ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้แตกต่างกันค่ะ เพราะถ้าเจาะที่ร้าน โดยส่วนมากร้านจะมีอุปกรณ์มากมายเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดให้ลูก แต่ถ้าคุณแม่เป็นคนเจาะ ลูกอาจจะเจ็บมากแต่ก็จะมีความมั่นใจและไม่กลัวเพราะเป็นคุณแม่เจาะให้นั่นเองค่ะ 3.การดูแลรักษา: 6 สัปดาห์หลังการเจาะหูเป็นช่วงเวลาที่ควรใส่ใจดูแลเรื่องการทำความสะอาดให้มาก คุณแม่บางคนอาจต้องทำความสะอาดใบหูของลูกด้วยแอลกอฮอล์ทุกวันเพื่อความสะอาด แต่ถ้าลูกมีอาการปวด ติ่งหูบวมแดง หรือ มีหนองอักเสบควรรีบให้แพทย์ดูแลอีกทีค่ะ 4.การติดเชื้อ: ถ้าหลังจากเจาะแล้วมีอาการ บวมแดง เป็นหนองหรือรู้สึกปวดมากกว่าปกติ ให้คิดไว้ก่อนว่าอาจติดเชื้อแล้วค่ะ ควรรีบให้คุณหมอตรวจสอบให้แน่ใจ ถ้าติดเชื้อจริง อาจต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ หรือ ยาปฏิชีวนะในการรักษาจนกว่าอาการจะดีขึ้นค่ะ ก่อนที่จะทำการเจาะหูให้ลูกสาวตัวน้อย ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนะคะ ว่าลูกของเรานั้นไม่มีอาการแพ้พวกโลหะ เงิน ทองหรือสารต่างๆที่สามารถนำมาประดับที่หูได้ค่ะ ที่มา : www.maerakluke.com

แก้ปัญหาลูกชอบดูดนิ้วอย่างไรดี

การดูดนิ้วในเด็กเล็ก หลายคนคงมองว่าเป็นเรื่องปกติของเด็ก แต่ก็มีคุณพ่อคุณแม่หลายท่านกลุ้มอกกลุ้มใจกับปัญหาดังกล่าวมากพอสมควร  คุณพ่อคุณแม่บางคนกลายเป็นคนหงุดหงิดหรืออารมณ์เสียทุกครั้งที่เห็นลูกดูดนิ้ว แหละนั่นยิ่งทำให้ปัญหาดังกล่าวแก้ไขได้ยากขึ้น การดูดนิ้วนั้นเป็นพฤติกรรมปกติของเด็กเล็กจนถึง 2 ขวบ ซึ่งเกิดจากสัญชาตญาณของเด็ก เพราะในขณะนั้นเด็กกำลังตกอยู่ในภาวะขาดความมั่นใจในตัวเอง  กลัวถูกทอดทิ้ง  ไม่มีเพื่อนเล่น  กำลังเหงา กลัวคนแปลกหน้า หรือกำลังต้องการที่พึ่งการดูดนิ้วนั้นเป็นพฤติกรรมปกติของเด็กเล็กจนถึง 2 ขวบ ซึ่งเกิดจากสัญชาตญาณของเด็ก ก่อนอื่นคุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจก่อนว่า การดูดนิ้วนั้นเป็นพฤติกรรมปกติของเด็กเล็กจนถึง 2 ขวบ ซึ่งเกิดจากสัญชาตญาณของเด็ก เพราะในขณะนั้นเด็กกำลังตกอยู่ในภาวะขาดความมั่นใจในตัวเอง  กลัวถูกทอดทิ้ง  ไม่มีเพื่อนเล่น  กำลังเหงา กลัวคนแปลกหน้า หรือกำลังต้องการที่พึ่ง การดูดนิ้วจึงเป็นสิ่งเดียวที่เด็กแสดงออกมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ หรือเป็นการแสดงออกเพื่อปลอบใจตัวเอง การแก้ปัญหาดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ดูแลเด็ก เมื่อเด็กเริ่มดูดนิ้ว เราควรดึงมือออกจากปากอย่างอ่อนโยนแล้วพูดคุยกับเด็กในเรื่องอื่นๆ หรือหากิจกรรมอะไรที่น่าสนใจให้เด็กทำเช่น เมื่อเด็กเริ่มเอานิ้วใส่ปากคุณแม่ก็ควรจะบอกว่า ลูกช่วยหยิบของเล่นให้คุณแม่หน่อยสิคะ  หรือเบี่ยงเบนความสนใจของลูกไปยังสิ่งอื่น ให้ลูกเปิดหนังสือนิทานให้คุณแม่ดู  ชวนกันวาดภาพ หรือเล่นโยนบอล คือพยายามให้ลูกมีอะไรทำ หรือใช้มือมากที่สุดเพื่อที่จะได้ลืมเรื่องการดูดนิ้ว  แต่ไม่ใช่ว่าคุณแม่จะคอยจ้องจับผิด หรือดุด่าทุกครั้งที่ลูกเริ่มดูดนิ้ว หรือดึงมือออกจากปากทันที แบบนี้จะทำให้ลูกยิ่งเครียด  และทำให้อยากดูดนิ้วมากขึ้นแต่คราวนี้เด็กจะแอบดูดนิ้วเวลาที่คุณพ่อคุณแม่เผลอ  ในเด็กบางคนจะดูดนิ้วตัวเองจนหลับ ซึ่งเป็นการแก้ไขได้ยากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าการดูดนิ้วในเด็กเล็กจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงอะไร แต่หากคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้เลี้ยงดู ไม่พยายามแก้ไข […]

การกอดหรือการสัมผัสทางกายเป็น 1 ใน 3 ทางรับรู้ที่สำคัญอย่างยิ่ง

การกอดหรือการสัมผัสทางกายเป็น 1 ใน 3 ทางรับรู้ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์นอกเหนือ จากการมองเห็นและการได้ยิน การรับรู้ทางประสาทรับรู้เหล่านี้มีผลต่อการเจริญ พัฒนา และมีสุขภาพจิตที่ดีในอนาคต เมื่อแรกเกิดสิ่งที่ทารกรับรู้ ได้ง่ายที่สุดคือ การสัมผัส เพราะประสาทตาและหูยังไม่พัฒนาเต็มที่นัก การรับรู้ทางผิวหนังให้ข้อมูลหลายอย่าง ทั้งความสุขและความเจ็บปวด เช่น การลูบไล้เป็นความสุข ถูกตีก็ตรงกันข้าม ความอุ่นทำให้รู้สึกดี ความเย็นไม่ใช่ นอกจากนั้นความเจ็บปวดยังเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับสมองอีกด้วย เด็กเล็กๆนั้นไวต่อประสาทสัมผัสมากกว่าผู้ใหญ่ อย่างน้ำอุ่นๆ สำหรับผู้ใหญ่ อาจจะร้อนเกินไปสำหรับเด็กก็ได้ จากการที่เด็กเล็กๆ ไวต่อการสัมผัส จึงมีการแนะนำให้มีการสัมผัสเด็กตั้งแต่แรกเกิด ไม่ว่าจะเป็นการลูบตัวเบาๆ หรือการกอดที่คุณแม่ถามมาก็ตาม เพราะเป็นสื่อสัมพันธ์ซึ่งจะบอกเด็กได้ถึงความอ่อนละมุน ความเอ็นดูเอาใจใส่และความรักที่เรามีต่อเขา ที่น่าสนใจและควรระลึกไว้เสมอคือการสัมผัสเป็นสิ่งที่คนเราต้องการตลอดชีวิต แน่นอนว่าบางช่วงบางวัยการสัมผัสอาจสำคัญกว่าวัยอื่นๆ เช่น วัยเด็กอย่างที่กล่าว อีกทีเห็นจะเป็นวัยชราที่คนเรากลับมาต้องการการสัมผัสมาก เพราะประสาทตาและหูเริ่มย้อนรอยเดิม ดังนั้นการกอดหรือสัมผัสไม่มีคำว่าสายครับ สิ่งที่คุณแม่เป็นห่วง คือ การกอดเมื่อเด็กโตจะสายเกินไป หรือเปล่า ไม่หรอกครับถ้าเด็กคนนั้นชอบ ทดสอบดูสิครับ ถ้าไม่ชอบก็เลี่ยงไปสัมผัสอย่างอื่น เช่น โอบ เอว โอบไหล่ หรือกอดจากข้างหลังก็ใช้แทนกันได้ และอย่างที่กล่าวแล้ว เมื่อเด็กโตขึ้น การสัมผัสไม่ใช่สิ่งเดียวที่เด็กจะรับรู้ถึงความรู้สึกที่เรามีต่อเขา คำพูด […]

ปล่อยให้ลูกเล่นดิน และสิ่งสกปรกบ้าง 

ปล่อยให้ลูกเล่นดิน และสิ่งสกปรกบ้าง  อย่าห่วง ! เพราะมีการวิจัยหลายครั้งแล้ว ที่ได้พิสูจน์การให้ลูกได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้ตอนยังเล็กเป็นเรื่องดี เพราะจะช่วยเด็กให้มีภูมิคุ้มกันโรค จนไม่ต้องเป็นห่วงจะเป็นโรคอย่างหอบหืดและโรคภูมิแพ้  ซึ่งเด็กสมัยนี้เป็นกันมาก สาเหตุมาจากการเลี้ยงดูที่ดีเกินไป ไม่ปล่อยให้เด็กได้เล่นและสัมผัสสิ่งสกปรกเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัว เหมือนเด็กสมัยก่อน การวิจัยครั้งล่าสุดที่เป็นข่าวเมื่อเดือนมิถุนายน เป็นของศูนย์เด็กโรงพยาบาลจอห์น ฮ็อปกิ้นส์แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของโลก โดยศูนย์แห่งนี้ได้ดำเนินการวิจัยภายใต้ชื่อ Urban Environment and Childhood Asthma หรือสิ่งแวดล้อมในเมืองกับโรคหอบหืดในเด็ก และผลการวิจัยได้รับตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Allergy and Clinical Immunology เกี่ยวกับภูมิแพ้และการป้องกัน ทั้งนี้การวิจัยถูกจัดทำด้วยการเก็บและติดตามข้อมูลเด็ก 560 คนที่อาศัยอยู่ในย่านภายในนครบัลติมอร์, บอสตัน, นิวยอร์ก, และเซนต์หลุยส์ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคดังกล่าว โดยเก็บและติดตามตั้งแต่เด็กยังเป็นทารก วิธีคือ ตรวจวัดคุณภาพอากาศและระดับเชื้อโรคที่ปนอยู่ในฝุ่นภายในบ้าน กับตรวจบันทึกของการเกิดอาการไอจามและอาการภูมิแพ้ ทั้งหมดใช้เวลา 3 ปี ปรากฏว่าเด็กที่โตภายในบ้านที่เต็มไปด้วยขี้แมลงสาบ ขนหนูและขนแมว ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 1 ขวบ เมื่อถึง 3 ขวบมีอัตราไอจามต่ำกว่าเด็กที่โตภายในบ้านที่สะอาด และเมื่อแยกข้อมูลมีการพบถึงร้อยละ […]

13 สัญญาณที่บอกว่าคุณเป็นสุดยอดคุณแม่ 

13 สัญญาณที่บอกว่าคุณเป็นสุดยอดคุณแม่  มีอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าคุณเป็นแม่เต็มตัว เป็นสุดยอดคุณแม่ของลูกๆอย่างแท้จริง เพราะการเลี้ยงเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย คุณแม่ต้องคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน การหลับนอน การขับถ่าย กว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์จนลูกๆ เอ่ยปากว่า หนูรักแม่นะ คุณแม่คงต้องทุ่มทั้งแรงกายและแรงใจอย่างมาก และคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณได้เป็นสุดยอดคุณแม่อย่างเต็มตัว เต็มที่แล้ว ดูได้จากสิ่งเหล่านี้ค่ะ 1.90 เปอร์เซ็นต์ที่ลูกอยู่กับคุณลูกจะยิ้มตลอดเวลา 2.ลูกรู้จักการแบ่งปัน เป็นเด็กที่มีจิตใจดี 3.คุณไม่ต้องรู้สึกกลัว หรือกังวลเมื่อต้องดุหรือสั่งสอนลูก 4.ลูกรู้จักการพูดขอร้อง กรุณา การขออนุญาต และ การขอบคุณ โดยที่คุณไม่ต้องบอก 5.คุณใส่ใจเรื่องการทานอาหาร การอาบน้ำ การนอน ของลูกก่อนเรื่องของคุณเสมอ 6.เมื่อลูกร้องไห้มักจะเรียกร้องหาคุณ และชอบซบไหล่คุณร้องไห้ 7.เมื่อลูกฝันร้ายมักจะเรียกร้องหาคุณ 8.คุณต้องกอดกับลูกทุกครั้งเมื่อออกจากบ้านและกลับเข้าบ้าน 9.ลูกชอบใช้เวลาอยู่กับคุณ ชอบทำกิจกรรมกับคุณ 10.ลูกวัยรุ่นของคุณมักจะรู้สึกเขินอายกับคุณเป็นพิเศษ 11.สำหรับลูกคุณแม่มักมาก่อนเพื่อนเสมอ 12.สามีของคุณจะไม่รู้เลยว่าคุณทำอย่างไรให้ลูกรักได้ขนาดนี้ 13.ลูกมักจะบอกกับคุณบ่อยๆ ว่า หนูรักแม่ นะ   ที่มา : www.maerakluke.com

สารพัดกิจกรรมยามว่าง ช่วยให้ลูกสนุกกับ “ตัวเลข” 

สารพัดกิจกรรมยามว่าง ช่วยให้ลูกสนุกกับ “ตัวเลข”  ทายลูกปัด เริ่มกันที่กิจกรรมแรก เป็นกิจกรรมที่สอนให้ลูกรู้จักจำนวน การเพิ่มการลด วิธีเล่น หยิบลูกปัด หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เช่น กระดุมเม็ดใหญ่ ก้อนกรวดทาสี บล็อกไม้ ออกมาจำนวนไม่เกิน 5 เม็ด กี่ลูกก็ได้ แล้วให้ลูกทายแบบลุ้นสุด ๆ เช่น นี่กี่เม็ดลูก ถ้าลูกตอบถูกให้เก็บแล้วหยิบออกมาใหม่ แต่ถ้าลูกตอบผิด เพียงแค่บอกจำนวนที่ถูกต้องไป แล้วหยิบขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องสอนให้ลูกนับ โดยวัตถุประสงค์ของการทายลูกปัดเพื่อให้เด็กรู้จักจำนวน และฝึกให้เด็กกวาดสายตามองแล้วตอบได้อย่างรวดเร็ว การจับคู่และการพับ เสื้อผ้าที่ซักเสร็จแล้ว ให้ติดเบอร์ให้กับสิ่งที่เป็นคู่ เช่น ถุงเท้า ให้ลูกช่วยจับคู่ถุงเท้าโดยดูตามหมายเลขที่ติดอยู่ ส่วนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนก็ให้นับเป็นจำนวนผืน แล้วพับผ้าปูที่นอนเป็นครึ่งท่อน จากนั้นก็พับอีกครึ่ง และพับทบที่เหลือ (หนึ่งส่วนสี่) เพียงเท่านี้ คุณจะหาถุงเท้าได้ง่ายขึ้น และมีผ้าปูที่นอนที่เรียบร้อย แถมเด็ก ๆ ยังได้สนุกกับตัวเลขอีกด้วย ปฏิทินของฉัน วางปฎิทินในห้องนอนของลูกและห้องอื่น ๆ ของลูกด้วย ตอนช่วงปลายปีจะมีปฏิทินแจกฟรีมากมาย ให้หาแบบที่มีตัวเลขใหญ่ ๆ […]