ประวัติ Dermatoglyphics

Dermatoglyphics History.

Ancient China : Thumb prints were found on clay seals
1641-1712 : ในยุคสมัยจีนโบราณพบการประทับลายนิ้วมือบนดินเหนียวเพื่อนำไปปิดผนึกฝาหีบเพื่อใช้ในการยืนยันทางธุรกรรม

1788 : J.C.Mayer  เป็นคนแรกที่ตีพิมพ์ผลงานหลักการพื้นฐานของการวิเคราะห์ลายผิวนิ้วมือและทฤษฎีเกี่ยวกับลายผิวนิ้วมือที่เป็นเอกลักษณ์

Research by scientist

1823 : John Evangelist Purkinji a professor of anatomy at the University of Breslau,Germany.

พบว่าเส้นลายผิวนิ้วมือเริ่มสร้างในสัปดาห์ที่ 13 จนถึงสัปดาห์ที่ 24 จึงเสร็จสมบูรณ์ เมื่อสมบูรณ์เต็มที่แล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต

Dr. Jan Purkinje ตีพิมพ์ผลงานแบบแผนลายนิ้วมือพื้นฐานออกเป็น 9 รูปแบบ แต่ยังไม่ได้ระบุว่าลายนิ้วมือสามารถระบุเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลได้

Picture3

1832 : Dr. Charles Bell (1774-1842) ศัลยแพทย์คนแรกผู้ศึกษาระบบประสาทวิทยาและศึกษาความสัมพันธ์ของการเชื่อมโยงของสมองกับนิ้วมือ

1880 : Dr. Faulds จัดระบบการแยกประเภทลายผิวนิ้วมือและเก็บตัวอย่างลายนิ้วมือด้วยการใช้ตลับหมึกที่ออกแบบขึ้นมาซึ่งต่อมาได้มีผู้ทำการศึกษาต่อ คือ Dr. Francis Galton ซึ่งเป็นญาติของ Sir Charles Darwin

Picture4

1893 : Sir Francis Galton a British anthropologist and a cousin of Charles Darwin นักมานุษยวิทยาได้กำหนดลายผิวนิ้วมือ เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ลายก้นหอย ลายมัดหวาย ลายโค้ง และจัดทำระบบลายนิ้วมือขึ้นเป็นแบบแผนโดยลายนิ้วมือของมนุษย์จะไม่มีการซ้ำกันซึ่งสามารถนำไประบุตัวบุคคลได้

Picture5

ในปี ค.ศ.1926 Dr.Harold Cummins ผู้ถูกขนานนามว่า The Father of Dermatoglyphics นิยามคำว่า “Dermatoglyphics” เป็นคำเรียกเฉพาะสำหรับการศึกษาลายนิ้วมือของสมาคมสัณฐานวิทยาอเมริกัน คำนี้จึงใช้เป็นทางการในการวิจัยแขนงนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Dr.Harold Cummins ยังค้นพบว่าความผิดปกติของโครโมโซมจะแสดงออกผ่านลายนิ้วมือ บ่งชี้ถึงโรคทางพันธุกรรมได้ เช่น โรคกลุ่มดาวน์ การค้นพบที่สำคัญนี้มีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการและเป็นที่รู้จักทั้งในและนอกประเทศในแวดวงพันธุศาสตร์

Picture7
เทคโนโลยี DMIT นำผลวิเคราะห์ที่ถอดรหัสได้มาประเมินร่วมกับทฤษฎีของ Dr. Howard Gardner จากมหาวิทยาลัย Harvard University เป็นผู้คิดค้น ทฤษฎีการเรียนรู้ ที่เรียกว่า Multiple Intelligences โดยในปี ค.ศ.1983 ได้แบ่งความฉลาดทางปัญญาออกเป็นทั้งหมด 7 ด้านและต่อมาในปี ค.ศ.1997 ได้เพิ่มเติมเข้ามาอีก 1 ด้าน รวมเป็นทั้งหมด 8 ด้าน เพื่อให้สามารถอธิบายได้ครอบคลุมมากขึ้น จึงสรุปได้ว่า พหุปัญญา ตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ ในปัจจุบันแบ่งได้ตามภาพด้านล่างนี้
Picture8

    บริษัท Brain Scan จึงได้นำโปรแกรม DMIT มาผนวกกับทฤษฎี Dermatoglyphics นำมาใช้วิเคราะห์หาพรสวรรค์ จุดเด่นและจุดที่ควรเสริมสร้างของแต่ละบุคคลผ่านลายผิวบนนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว ทำให้ทราบถึงศักยภาพต้นกำเนิดรวมถึงพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของแต่ละบุคคล ทราบถึงพฤติกรรมและลักษณะอุปนิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของบุคคลนั้น

ตัวอย่างงานวิจัย